|
 "กะทิ" หากเอ่ยชื่อแล้วทุกครัวเรือนต่างร้องอ๋อ เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารไทย คู่ครัวคนไทยมาช้านาน สามารถนำมาดัดแปลงได้สารพัดอย่าง ทั้งของคาว ของหวาน แต่กะทิ หรือน้ำมันมะพร้าว ก็มักถูกมองว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจ โรคอ้วน เพราะมีคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัวจะมีคุณสมบัติคือย่อยยาก เมื่อได้รับจำนวนมากแล้วร่างกายไม่สามารถดูดซึมนำมาใช้เป็นพลังงานได้หมดและกลายเป็นไขมันส่วนเกิน สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนตะกอนที่ค้างในหลอดเลือดจะก่อตัวกันเป็นคราบตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดหลอดเลือดตีบและอุดตันได้ ไขมันไม่อิ่มตัวจะเป็นกลุ่มไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสามารถช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือดได้ จะมีมากในงา ถั่วต่างๆ อัลมอนต์ วอลล์นัท เมล็ดสน เมล็ดทานตะวัน น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันงา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก อะโวคาโด้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวสารจากนักวิชาการปรากฏออกมาว่าน้ำมันมะพร้าวมิได้มีแต่ข้อเสีย แต่มีสรรพคุณมากมาย มีผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายปลูกพืชพื้นเมืองไทย เผยความรู้ใหม่อีกด้านหนึ่งของน้ำมันมะพร้าวว่า ที่ผ่านมาคนไทยมักเข้าใจคิดว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นผู้ร้าย เพราะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย จึงส่งผลให้หันไปบริโภคน้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด ทั้งที่ความจริงแล้วน้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลน้อยที่สุด เพียง 14 ส่วนในล้านส่วนเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ตีพิมพ์รายงานชี้ให้เห็นว่า การปรักปรำว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจนั้นไม่เป็นความจริง เพราะผลวิจัยสรุปว่า น้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดในโลก น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ หรือน้ำมันมะพร้าวพรหมจรรย์ คือน้ำมันมะพร้าวที่สกัดออกมาจากเนื้อมะพร้าวแก่สดๆ โดยใช้วิธีธรรมชาติ คั้นเหมือนกะทิ โดยไม่ใช้ความร้อน ไม่ใช้สารเคมี ไม่เปลี่ยนสภาพของน้ำมัน ไม่มีการทำให้บริสุทธิ์โดยผ่านกรรมวิธีทางเคมี น้ำมันมะพร้าวชนิดนี้สามารถบริโภคได้ทันทีหลังการสกัดเป็นน้ำมันใส ไม่มีสี มีกลิ่นและรสของมะพร้าวตามธรรมชาติ และเต็มไปด้วยวิตามินอี เมื่อเทียบปริมาณคอเลสเตอรอลในน้ำมันปรุงอาหาร พบว่า น้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลน้อยที่สุดเพียง 14 ส่วนต่อล้าน ขณะที่คอเลสเตอรอลในน้ำมันปาล์มอยู่ที่ 18 ส่วนต่อล้าน น้ำมันถั่วเหลือง 28 ส่วนต่อล้าน น้ำมันข้าวโพด 50 ส่วนต่อล้าน เนยเหลว 3,150 ส่วนต่อล้าน และน้ำมันหมู 3,500 ส่วนต่อล้าน น้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง ภายในส่วนประกอบยังมีกรดคลอริกสูง ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติพิเศษในการเสริมสุขภาพและความงาม รวมทั้งน้ำมันมะพร้าว ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมีทำให้คุณภาพของวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวยังคงอยู่อย่างมีอนุภาพสูง ด้วยลักษณะเป็นกรดไขมันขนาดกลาง ทำให้มีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง โดยสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่มีไขมันสะสมในร่างกาย นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานเร็วขึ้น ทำให้คนกระฉับกระเฉง ซึ่งสรุปได้ว่าการรับประทานน้ำมันมะพร้าวจะช่วยลดความอ้วนได้ และถึงแม้น้ำมันมะพร้าวจะมีฤทธิ์เป็นยา แต่ไม่ใช่ยา ดังนั้นไม่ควรบริโภคเกินความจำเป็น อัตราที่แนะนำคือไม่เกินวันละ 3.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน ดร.รณรงค์ยังแจงถึงคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อีกว่า มีกรดต่างๆ มีวิตามิน ซึ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันเพราะเป็นกรดชนิดเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดา ช่วยให้เด็กเกิดใหม่มีภูมิคุ้มกัน ช่วยฆ่าเชื้อโรคทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ โปรโตซัว และไวรัสบางชนิด รวมทั้งเชื้อที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว สารประกอบอีกตัวคือวิตามิน และที่มีมากคือวิตามินอี ซึ่งเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เครื่องสำอางหรือครีมต่างๆ มักมีน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสมทั้งสิ้น หากใช้น้ำมันมะพร้าวมาบำรุงผิวก็สามารถทำได้เช่นกัน จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นเพราะมีสารรักษาความชุ่มชื้น รวมทั้งบำรุงผมได้ด้วย ช่วยทั้งปรับสภาพผม ช่วยรักษาสุขภาพของศีรษะ ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี ได้จากสารบำรุงความชุ่มชื้นซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม ด้าน ดร.วันทนีย์ เกียงสินยศ อาจารย์สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำผู้ที่คิดจะกินน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วนว่า น้ำมันโดยทั่วไปจะให้พลังงานเท่าๆ กันคือ 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ แต่น้ำมันมะพร้าวพิเศษกว่าน้ำมันอื่นคือย่อยสลายเร็ว สะสมน้อย หากรับประทานร่วมกับการออกกำลังกายก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่หากจะรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพียงอย่างเดียวเพื่อลดน้ำหนักไม่น่าจะทำได้ การเลือกรับประทานอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น ควบคุมการรับประทานอาหาร เลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับร่างกาย และออกกำลังกายสร้างร่างกายให้แข็งแรง น่าจะเป็นสิ่งดีที่สุด แต่หากจะเลือกใช้ของใกล้ตัว ลองหยิบน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ของไทยๆเรามาใช้ก็น่าจะดีไม่ใช่น้อย
ข้อมูลจาก
หนังสือพิมพ์ข่าวสด
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 15 ฉบับที่ 5493 หน้า 23
โดย เมธาวี มัชฌันติกะ รายงาน
|
|